

การจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศ
ความสำคัญและพันธกิจ
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมีแนวโน้มที่จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและธุรกิจของบริษัทในหลายด้าน ทั้งภาวะที่ความถี่ของการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติเพิ่มขึ้น นโยบายและกฎหมายข้อบังคับทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศเข้มงวดมากขึ้น รวมถึงแรงผลักดันในการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานสู่สังคมคาร์บอนต่ำ
บริษัทฯ ได้ดำเนินการลดความเสี่ยงและปรับตัวเพื่อบรรเทาความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในแหล่งก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นพลังงานที่สะอาดมากกว่าน้ำมัน และแสวงหาวิธีในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ให้สอดคล้องกับแนวทางเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจก (Nationally Determined Contribution: NDC) ตลอดจนเจตนารมณ์ของประเทศไทยในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ภายในปี 2608 ที่ได้ประกาศไว้ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 26 (COP26) ปตท.สผ. จึงกำหนดแนวทางการบริหารจัดการด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ผ่านการดำเนินงานต่าง ๆ ทั้งภายในองค์กรและความร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก

เป้าหมายสำคัญ
การลดปริมาณความเข้มการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงไม่น้อยกว่าร้อยละ 30 ภายในปี 2573 และร้อยละ 50 ภายในปี 2583 จากปีฐาน 2563 ครอบคลุม Scope 1 และ Scope 2 ในโครงการภายใต้ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่ง ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ
การปล่อยก๊าซมีเทนจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมให้ใกล้ศูนย์มากที่สุดและการปล่อยก๊าซที่เกิดขึ้นจากการเผาทิ้งในกระบวนการผลิตปิโตรเลียมเป็นศูนย์ ภายในปี 2573
การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 ครอบคลุม Scope 1 และ Scope 2 ในโครงการภายใต้ธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม ซึ่ง ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ
แนวทางการบริหารจัดการ
โครงสร้างการกำกับดูแล
ปตท.สผ. มอบหมายให้คณะกรรมการบรรษัทภิบาลและความยั่งยืน ทำหน้าที่กำกับดูแลการบริหารจัดการด้านความยั่งยืน โดยรวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ตั้งแต่การกำหนดเป้าหมาย นโยบาย กลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การบริหารความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ และแผนการดำเนินงาน รวมถึงทบทวนและติดตามผลการดำเนินงานจากแผนการปฏิบัติงานที่กำหนดไว้ เพื่อให้มั่นใจว่าองค์กรจะสามารถดำเนินงานได้เป็นไปตามเป้าหมายขององค์กรที่ได้กำหนดไว้ ผ่านการดำเนินงานของคณะกรรมการจัดการซึ่งมีประธานเจ้าหน้าที่บริหารเป็นประธาน กำกับดูแลการปฏิบัติงานให้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ เป้าหมายของบริษัทในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และจัดสรรทรัพยากรของบริษัทฯ ในระดับปฏิบัติการอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึง การดูแลการบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก การบริหารจัดการคาร์บอนเครดิต และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง นอกจากนี้ บริษัทยังกำหนดให้มีคณะกรรมการคาร์บอนโซลูชั่น มีหน้าที่ดูแลจัดการในเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะ ซึ่งมีรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานการเงินและการบัญชีเป็นประธาน
กลยุทธ์การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization Strategy)
การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonize) เป็นหนึ่งในกลยุทธ์หลักของ ปตท.สผ. โดยบริษัทฯ มีแผนดำเนินงาน ดังนี้
- บริหารโครงการ E&P เพื่อมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ในปี 2593 (ปี 2050) สำหรับโครงการที่ ปตท.สผ. เป็นผู้ดำเนินการ (Operational Control) โดยครอบคลุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1 และ Scope 2
- ดำเนินงานลดก๊าซเรือนกระจกตามแผนงานและหาโอกาสจากการพัฒนาเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง
- เพิ่มการใช้พลังงานหมุนเวียนและมองหาพลังงานสะอาดรูปแบบใหม่เพื่อนำมาใช้ในพื้นที่ปฏิบัติการ
- เร่งพัฒนาโครงการดักจับและกักเก็บคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS)
- ศึกษาและดำเนินการเพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Offsetting) ผ่านโครงการปลูกป่า
นอกจากนี้ ปตท.สผ. ยังปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานด้วยกลยุทธ์การเติบโตในธุรกิจใหม่ (Diversify) เพื่อแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจพลังงานหมุนเวียน และแสวงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจดักจับ การใช้ประโยชน์และการกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) การต่อยอดเชื้อเพลิงไฮโดรเจน รวมถึงพลังงานในอนาคต
การบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
บริษัทฯ ได้นำกรอบแนวทางของ Task Force on Climate-related Financial Disclosures (TCFD) มาใช้ในการบริหารจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ โดยนำเสนอไว้ใน TCFD Report และจัดให้ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นหนึ่งในความเสี่ยงเกิดใหม่ (Emerging Risk) ของบริษัทฯ โดยได้มีประเมินความเสี่ยงให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการใหม่ กิจกรรมต้นน้ำและปลายน้ำ และคู่ค้า ให้ทันสมัยอยู่เสมอ รวมถึงให้มีความสอดคล้องกับข้อกำหนดที่ได้ปรับปรุงใหม่ทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ ทั้งนี้ ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ประกอบด้วย ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk) และความเสี่ยงเปลี่ยนผ่าน (Transition Risk) โดยความเสี่ยงทางกายภาพ คือ ความเสี่ยงจากผลกระทบทางตรง ได้แก่ ความเสี่ยงจากคลื่นความร้อน ฝนตกหนัก พายุหมุนเขตร้อน ภัยแล้ง และความเสี่ยงที่เกี่ยวกับน้ำ ส่วนความเสี่ยงเปลี่ยนผ่าน คือ ความเสี่ยงที่อาจเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของนโยบาย กฎเกณฑ์/กฎหมาย เทคโนโลยี ความต้องการพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และภาพลักษณ์องค์กร ทั้งนี้ การประเมินได้ครอบคลุม ความเสี่ยงในระยะกลาง (2569 - 2578) และความเสี่ยงในระยะยาว (2579 - 2593)
ในการประเมินความเสี่ยงทางกายภาพ บริษัทฯ ได้เลือกสถานการณ์ (Scenario) ในการประเมินไว้ 3 ระดับ ได้แก่ 1) ระดับที่โลกมีการใช้มาตรการที่เข้มงวดที่สุด (Aggressive Mitigation) หรือ Representative Concentration Pathways หรือ RCP 2.6 2) ระดับที่โลกใช้มาตรการที่เข้มแข็ง (Strong Mitigation) หรือ RCP 4.5 และ 3) ระดับที่โลกดำเนินการไปตามปกติ (Business-As-Usual - BAU) หรือ RCP 8.5 ซึ่งอ้างอิงตามการประเมินผลกระทบโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Intergovernmental Panel on Climate Change (IPCC) ส่วนการประเมินความเสี่ยงเปลี่ยนผ่าน บริษัทฯ ได้เลือกสถานการณ์ (Scenario) ในการประเมินไว้ 3 ระดับเช่นกัน ได้แก่ 1) Stated Policies Scenario (SPS) หรือเดิมที่รู้จักในชื่อ “New Policies Scenario (NPS)” 2) Sustainable Development Scenario (SDS) และ 3) IPCC 1.5°C scenario ซึ่งสองสถานการณ์แรกอ้างอิงตามการประเมินผลกระทบโดยองค์การพลังงานระหว่างประเทศ (International Energy Agency - IEA) และสถานการณ์หลังอ้างอิงตามการประเมินผลกระทบโดยคณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
กระบวนการประเมินความเสี่ยงนี้ช่วยให้บริษัทฯ มั่นใจว่าการดำเนินงานของบริษัทฯ มีการบริหารจัดการความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอยู่ในระดับที่เหมาะสม โดยบริษัทฯ มีการเฝ้าระวังและติดตามสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่อาจมีผลกระทบต่อระดับความเสี่ยงของบริษัทฯ อย่างใกล้ชิด เพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่ยอมรับได้ ทำให้สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน นอกจากนั้น ปตท.สผ. ได้จัดทำแผนการจัดการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อตอบสนองต่อความเสี่ยงทั้งทางกายภาพและการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ โดยได้บูรณาการแผนงานในด้านการบรรเทาผลกระทบ การปรับตัว และการยืดหยุ่นต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อให้เข้าใจถึงระดับความอ่อนไหวต่อสภาพการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศของบริษัทฯ และทำให้บริษัทฯ มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นต่อภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและมองหาโอกาสใหม่ทางธุรกิจด้วยเช่นกัน
การดำเนินงานด้านการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Decarbonization)
เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ บริษัทฯ ได้ดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Scope 1 และ 2) ซึ่งรวมถึงโครงการจัดการการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบด้วย การนำก๊าซเหลือทิ้งหรือก๊าซส่วนเกินกลับเข้าสู่กระบวนการผลิตหรือนำไปใช้ประโยชน์เพื่อลดการเผาทิ้ง การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การลดการรั่วไหลของก๊าซมีเทนผ่านโครงการ Leak Detection and Repair (LDAR) และการนำพลังงานหมุนเวียน ได้แก่พลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมมาใช้ในการดำเนินงาน สำหรับโครงการใหม่ ปตท.สผ. มีการกำหนดราคาคาร์บอนภายในองค์กร (Internal Carbon Pricing) เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุนในโครงการนั้นๆ ควบคู่ไปกับการดำเนินงานเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้สอดคล้องกับแนวทางของบริษัทฯ
บริษัทฯ ยังพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการผลิต โดยดำเนินโครงการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (Carbon Capture and Storage: CCS) ที่แหล่งอาทิตย์ในอ่าวไทย
ปตท.สผ. ดำเนินงานด้านการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการบริหารจัดการคาร์บอนเครดิตที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับในประเทศและระดับสากล นอกจากนั้น บริษัทกำหนดเป้าหมายโครงการปลูก ฟื้นฟู ดูแลและบำรุงรักษาป่า ตามแนวทาง Nature-based Solutions เพื่อเพิ่มพื้นที่ดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และเพิ่มความสมบูรณ์ของทรัพยากรทางธรรมชาติให้กับประเทศไทย ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้ รวมถึงโอกาสในการพัฒนาโครงการเพื่อคาร์บอนเครดิต ผ่านความร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมป่าไม้ กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช รวมถึงมูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์
การเปิดเผยข้อมูลและการประเมินผลด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Disclosure and Benchmarking)
บริษัทฯ มีการทวนสอบและตรวจสอบประสิทธิภาพของระบบบริหารจัดการด้านความมั่นคง ปลอดภัย อาชีวอนามัย และสิ่งแวดล้อม ซึ่งรวมถึงผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อม ได้แก่ การปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพจากผู้ตรวจสอบภายในและภายนอกอย่างต่อเนื่อง เพื่อวัตถุประสงค์ในการปรับปรุงประสิทธิภาพการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการใช้พลังงานของบริษัทฯ นอกจากนี้ การทวนสอบผลการดำเนินงานด้านการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากผู้ตรวจสอบภายนอก ทำให้บริษัทฯ มั่นใจว่าการรายงานผลการดำเนินงานมีความสอดคล้องกับมาตรฐานการรายงานของ Global Reporting Initiative (GRI Standards) และการดำเนินงานสอดคล้องกับมาตรฐาน ISO 14064-1 ทั้งนี้ บริษัทฯ ยังจัดให้มีการอบรมเพื่อส่งเสริมความตระหนักรู้และความเข้าใจของพนักงานเกี่ยวกับการบริหารจัดการการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพอีกด้วย
บริษัทฯ ได้แสดงถึงความโปร่งใสในการดำเนินงาน โดยเปิดเผยผลการดำเนินงานที่เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งรวมถึงผลการดำเนินงานด้านการใช้พลังงานในรายงานประจำปีและรายงานความยั่งยืนของบริษัทฯ นอกจากนั้นยังมีการเปิดเผยข้อมูลไว้ใน TCFD Report รวมถึงยังได้เปิดเผยผลการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศต่อ CDP ตั้งแต่ปี 2553 และได้รับการจัดอันดับอยู่ใน “ระดับผู้นำ” ซึ่งเป็นอันดับสูงสุดเป็นเวลา 7 ปี ติดต่อกันตั้งแต่ปี 2557-2563 และ “ระดับการจัดการ” ตั้งแต่ปี 2564 เป็นต้นมา อันแสดงถึงความมุ่งมั่นและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อมเมื่อเทียบกับกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกัน
ความร่วมมือและการขับเคลื่อนนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
ปตท.สผ. ได้กำหนดเป้าหมายเพื่อบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมในการบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2593 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ภายในปี 2608 ของประเทศไทย ซึ่งเป็นการดำเนินการภายใต้กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและความตกลงปารีส โดย ปตท.สผ. มีความร่วมมือกับพันธมิตรหลากหลายภาคส่วน อาทิ เครือข่ายส่งเสริมการสร้างแนวปฏิบัติที่ดีในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซระดับโลก เครือข่ายด้านความยั่งยืนทั้งไทยและสากล ตลอดจนหน่วยงานราชการ เพื่อรวมขับเคลื่อนนโยบายประเทศ อาทิ
- สมาคมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของอุตสาหกรรมปิโตรเลียมนานาชาติ (IPIECA) และองค์กรธุรกิจเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน (TBCSD): องค์กรเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบการดำเนินงานด้านสิ่งแวดล้อมและแนวทางและปฏิบัติที่ยั่งยืน โดยในฐานะสมาชิก ปตท.สผ. ได้มุ่งเน้นการนำแนวทางการปกป้องสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาอย่างยั่งยืนมาปรับใช้ โดยสามารถดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการพัฒนาความร่วมมือและเครือข่ายเพื่อความยั่งยืนได้ที่ กรอบแนวคิดและเป้าหมายระยะยาวด้านความยั่งยืน
- ข้อตกลงโลกแห่งสหประชาชาติ (United Nations Global Compact – UNGC): UNGC เป็นองค์กรที่ให้ความสำคัญกับประเด็นที่มีความท้าทายและมีความสำคัญระดับโลก เช่น การต่อต้านการทุจริต การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สิทธิมนุษยชน และสิทธิแรงงาน โดย ปตท.สผ. ซึ่งเป็นหนึ่งในสมาชิกของ UNGC ได้ปรับปรุงนโยบายให้มีความสอดคล้องกับ UNGC’s Guide for Responsible Corporate Engagement in Climate Policy เพื่อให้มั่นใจถึงความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความสม่ำเสมอในการดำเนินงานด้านความยั่งยืน
- บันทึกข้อตกลงเพื่อเข้าร่วมโครงการความร่วมมือด้านมีเทนกลุ่มธุรกิจน้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas Methane Partnership 2.0 หรือ OGMP 2.0): OGMP เป็นโครงการภายใต้โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (United National Environment Programme หรือ UNEP) โดย ปตท.สผ. ได้บริหารจัดการการปล่อยก๊าซมีเทนให้ครอบคลุมตามกรอบการทำงานของบันทึกข้อตกลงของ OGMP 2.0
- การเข้าร่วมลงนามในกฎบัตรของกลุ่มอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ (Oil & Gas Decarbonization Charter หรือ OGDC): ได้เข้าร่วมลงนามนี้ในการประชุมรัฐภาคีกรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ สมัยที่ 28 (The 28th UN Climate Change Conference of the Parties หรือ COP28) ซึ่งภายใต้ OGDC ได้มีการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซมีเทนจากกระบวนการผลิตปิโตรเลียมให้ใกล้ศูนย์มากที่สุดและการปล่อยก๊าซที่เกิดขึ้นจากการเผาทิ้งในกระบวนการผลิตปิโตรเลียมเป็นศูนย์ ภายในปี 2573 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593
- คณะอนุกรรมการการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ: ปตท.สผ. มีส่วนร่วมด้านการขับเคลื่อนการลดก๊าซเรือนกระจกจากการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS) ของประเทศ เพื่อขับเคลื่อนการดำเนินงานในการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศไทย โดยเฉพาะในภาคพลังงานและอุตสาหกรรม
- บันทึกความเข้าใจ เรื่อง ความร่วมมือในการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ: ปตท.สผ. ร่วมมือกับกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม และสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพื่อพัฒนาแนวทางและกลไกในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ขับเคลื่อนโดยภาคเอกชน รวมถึงการดำเนินงานตามมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศ
- กลุ่มความร่วมมือการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการดักจับ ใช้ประโยชน์ และกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CCUS Technology Development Consortium): เป็นสมาคมที่นำโดยศูนย์เทคโนโลยีและวิศวกรรมเพื่อเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียว (Bio-Circular-Green economy Technology and Engineering Center) หรือศูนย์ BCGeTEC คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งมีวัตถุประสงค์ในการส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัยและการนำเทคโนโลยี CCUS ไปประยุกต์ใช้ โดย ปตท.สผ. เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้ร่วมดำเนินงานกับหน่วยงานจากภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้แก่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) บริษัท ไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) และบริษัท เอสซีจี ซิเมนต์ จำกัด นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานภาครัฐและองค์กรสาธารณะทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษา
- องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (อบก.): ปตท.สผ. มีส่วนร่วมในการดำเนินงานของ อบก. เช่น การร่วมพัฒนาแนวทาง Premium T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction Program) สำหรับการดักจับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ร่วมกับกลุ่ม ปตท. การเข้าร่วมโครงการ Carbon Neutral Event (CNE) การจดทะเบียนโครงการปลูกป่าในโครงการ T-VER เพื่อเพิ่มการดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ทั้งนี้ บริษัทฯ มีส่วนร่วมในการดำเนินงาน พร้อมกับติดตามความคืบหน้าการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น ดำเนินกิจกรรมร่วมกัน ประชุมหารือ เข้าร่วมประชุมรายงานผลการดำเนินงานประจำปี เพื่อให้มั่นใจว่าการดำเนินงานร่วมกับพันธมิตรจะสามารถสนับสนุนเป้าหมายการดำเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ รวมถึงนโยบายภาครัฐ