

การบริหารความเสี่ยงและการจัดการภาวะวิกฤต
ความสำคัญและพันธกิจ
ปตท.สผ. ให้ความสําคัญกับการบริหารความเสี่ยง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งขององค์ประกอบหลักด้าน Governance, Risk Management and Compliance หรือ GRC ภายใต้กรอบแนวคิดด้านความยั่งยืน (Sustainability Framework) เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการบรรลุวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์ และวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ รวมทั้งตอบสนองต่อความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอย่างเหมาะสม เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนและสร้างคุณค่าให้แก่มีส่วนได้เสียทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ปตท.สผ.จึงกําหนดกรอบและนโยบายการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้บริษัทฯ มีการกํากับดูแลด้านการบริหารความเสี่ยงที่ดีโดยผู้บริหารและพนักงานทุกคนต้องถือปฎิบัติ
เป้าหมาย
ปตท.สผ. กำหนดเป้าหมายให้มีการระบุความเสี่ยงที่มีผลกระทบสูงครบถ้วนพร้อมทั้งมีมาตรการจัดการความเสี่ยงที่มีประสิทธิผล ซึ่งเป้าหมายดังกล่าวได้รับอนุมัติจากระดับคณะกรรมการบริษัท
แนวทางการบริหารจัดการ
การกำกับดูแลความเสี่ยง
ด้วยความมุ่งมั่นในการบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล คณะกรรมการ ปตท.สผ. จึงได้อนุมัติกรอบการกำกับดูแลความเสี่ยงองค์กร เพื่อกำหนดความรับผิดชอบและอำนาจหน้าที่ในการบริหารความเสี่ยงตั้งแต่ระดับคณะกรรมการบริษัท ไปจนถึงระดับหน่วยธุรกิจ เพื่อให้การบริหารจัดการความเสี่ยงภายในองค์กรมีการสื่อสาร ประสานความร่วมมือ และเชื่อมโยงกันทุกระดับ อีกทั้งได้อนุมัติระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ เพื่อใช้เป็นกรอบในการดำเนินงานและแสวงหาโอกาสทางธุรกิจ ทำให้บริษัทสามารถควบคุมดูแลการจัดการความเสี่ยงทุกด้านให้อยู่ภายใต้ระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้อย่างมีประสิทธิผลและสอดคล้องกับนโยบายต่าง ๆ และสร้างความมั่นใจว่าความเสี่ยงที่มีนัยสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเสี่ยงที่มีผลกระทบระดับองค์กร (Corporate Risk) และความเสี่ยงเกิดใหม่ (Emerging Risk) จะได้รับการบริหารจัดการ เพื่อป้องกันไม่ให้กลายเป็นปัญหาโดยไม่ทราบล่วงหน้า ช่วยลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น และลดการเกิดความเสี่ยงซ้ำ
ปตท.สผ. มีนโยบายและกรอบการบริหารความเสี่ยงองค์กรซึ่งอนุมัติโดยคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง โดยมุ่งเน้นการบริหารความเสี่ยงเชิงรุกและการมีวัฒนธรรมด้านความเสี่ยงที่เข้มแข็ง มีกระบวนการบริหารความเสี่ยงอย่างเป็นระบบ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล ISO 31000:2018 และมีการนำกรอบแนวทางการบริหารความเสี่ยงของ The Committee of Sponsoring Organizations of the Treadway Commission (COSO) Enterprise Risk Management – Integrating with Strategy and Performance (COSO ERM 2017) และ COSO Enterprise Risk Management – Applying Enterprise Risk Management to Environmental, Social and Governance-related Risks (COSO ESG 2018) มาปรับใช้เพื่อเชื่อมโยงการบริหารความเสี่ยงเข้ากับการวางแผนกลยุทธ์ และบูรณาการการบริหารความเสี่ยงด้านความยั่งยืน อันได้แก่ ประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี เข้ากับกระบวนการบริหารความเสี่ยงทั่วทั้งองค์กร โดยคณะกรรมการ ผู้บริหาร และพนักงานทุกระดับ มีหน้าที่และความรับผิดชอบในการบริหารความเสี่ยง และผลักดันการบริหารความเสี่ยงให้ครอบคลุมไปยังผู้รับเหมา คู่ค้า และหุ้นส่วนทางธุรกิจต่าง ๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นต่อการบรรลุวิสัยทัศน์ พันธกิจ กลยุทธ์ วัตถุประสงค์ทางธุรกิจ
กรอบการบริหารความเสี่ยงองค์กร
กระบวนการบริหารจัดการความเสี่ยงขององค์กรเป็นไปตามมาตรฐาน ISO 31000:2018 ซึ่งประกอบด้วย 6 ขั้นตอนสำคัญ ตามที่แสดงด้านล่าง โดยกระบวนการเหล่านี้สามารถนำไปปรับใช้ในหลายระดับภายในองค์กร
ปตท.สผ. ส่งเสริมการบูรณาการการบริหารความเสี่ยงเข้ากับการดำเนินงานและการตัดสินใจทางธุรกิจ โดยนำการบริหารความเสี่ยงมาใช้ทั่วทั้งองค์กร ครอบคลุมการดำเนินงานหลักของบริษัททุกด้านซึ่งประกอบด้วย การวางแผนและการจัดการเชิงกลยุทธ์ การตัดสินใจลงทุนและถอนการลงทุน การบริหารโครงการขนาดใหญ่ การปฏิบัติการและกระบวนการทางธุรกิจ รวมถึงการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Management) และการบริหารจัดการด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (ESG) นอกจากนี้ ยังมีการบริหารความเสี่ยงในทุกระดับ ทั้งในระดับองค์กร (Corporate Level) และระดับปฏิบัติการ (Operational Level) เพื่อให้ความเสี่ยงอยู่ในระดับที่องค์กรยอมรับได้ (Risk Appetite) และมีการจัดสรรทรัพยากรเพื่อการบริหารความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสมกับระดับความเสี่ยงและผลตอบแทนที่จะได้รับ พร้อมทั้งมีการติดตามความคืบหน้าของแผนจัดการความเสี่ยง (Mitigation Plan) และตัวชี้วัดความเสี่ยงที่สำคัญ (Key Risk Indicators - KRIs) ซึ่งเป็นเครื่องมือในการเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อจะได้ป้องกันและกำหนดมาตรการจัดการความเสี่ยงเพิ่มเติมได้ทันเหตุการณ์
กระบวนการบริหารความเสี่ยง
1. การกำหนดขอบเขตและบริบท
ปตท.สผ. ทำความเข้าใจว่าความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินงาน จึงต้องมีการบริหารความเสี่ยง การกำหนดขอบเขตและบริบท เป็นกระบวนการในการกำหนดวัตถุประสงค์ และทำความเข้าใจบริบททางธุรกิจทั้งภายนอกและภายใน ความเข้าใจร่วมกันในประเด็นเหล่านี้เป็นกุญแจสู่ความสำเร็จในการบริหารความเสี่ยง
2. การประเมินความเสี่ยง
ปตท.สผ. มีการประเมินความเสี่ยงที่ครอบคลุมความเสี่ยงด้านกลยุทธ์และการลงทุน ความเสี่ยงทางการเงินและตลาด ความเสี่ยงด้านการเมือง กฎหมาย หรือข้อบังคับ ความเสี่ยงด้านการดำเนินงาน และความเสี่ยงเกิดใหม่ โดยพิจารณาจากผลกระทบ (Impact) และโอกาสเกิด (Likelihood) ของความเสี่ยงนั้น ๆ
ระดับความเสี่ยง
ปตท.สผ. กำหนดระดับคะแนนความเสี่ยงใน 2 มิติ ได้แก่ ผลกระทบ และโอกาสเกิด เพื่อให้มีความเข้าใจในทิศทางเดียวกันระหว่างผู้ที่เกี่ยวข้องกับวิธีการประเมินตามระดับความเสี่ยง
- เกณฑ์โอกาสเกิด : โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ความเสี่ยง สามารถพิจารณาจากเหตุการณ์ปกติ หรือประสบการณ์ของเจ้าของความเสี่ยงที่เทียบเคียงได้ ระดับของโอกาสเกิดนั้นอาจไม่สอดคล้องกับความน่าจะเป็นของความถี่ แต่สมเหตุสมผลในแง่ของการบริหารความเสี่ยง เกณฑ์โอกาสเกิดแบ่งเป็น 5 ระดับ ดังนี้
- เกือบแน่นอน (Almost certain) (5) : เหตุการณ์เกิดขึ้นบ่อยครั้งในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือเกิดขึ้นมากกว่าหนึ่งครั้งต่อปีในสถานที่เดียวกัน หรือคาดว่าจะเกิดขึ้นใน ปตท.สผ.
- มีความเป็นไปได้สูง (Likely) (4) : เหตุการณ์เกิดขึ้นหลายครั้งต่อปีในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือมากกว่าหนึ่งครั้งต่อปีใน ปตท.สผ. หรือเกิดขึ้นที่สถานที่เดียวกัน หรือมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นใน ปตท.สผ.
- มีความเป็นไปได้ (Possible) (3) : เหตุการณ์เกิดขึ้นหลายครั้งในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือเกิดขึ้นครั้งเดียวใน ปตท.สผ. หรืออาจเกิดขึ้นใน ปตท.สผ.
- ไม่น่าเป็นไปได้ (Unlikely) (2) : เหตุการณ์เกิดขึ้นไม่กี่ครั้งในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม หรือไม่น่าจะเกิดขึ้นใน ปตท.สผ.
- เกิดขึ้นไม่บ่อย (Rare) (1) : เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเกิดขึ้นระยะไกล และ/หรือไม่เคยได้ยินมาก่อนในอุตสาหกรรมสำรวจและผลิตปิโตรเลียม
- ประเภทผลกระทบ : ปตท.สผ. กำหนดประเภทของผลกระทบหลักทั้งหมด 7 ประเภท เพื่อวัดระดับความรุนแรงของความเสี่ยง ได้แก่ 1) รายได้สุทธิ/มูลค่าปัจจุบันสุทธิ/มูลค่าทางการเงินที่คาดหวัง 2) บุคลากร 3) ความเสียหายต่อทรัพย์สิน 4) ต้นทุนและกำหนดการของโครงการ 5) กฎหมายและการปฏิบัติตามข้อกำหนด 6) สิ่งแวดล้อม และ 7) ภาพลักษณ์และชื่อเสียง โดยแบ่งเกณฑ์การวัดออกเป็น 5 ระดับ ตามระดับผลกระทบต่อบริษัทจากน้อยไปหามาก

3. การจัดการความเสี่ยง
กระบวนการจัดการความเสี่ยงแบ่งออกเป็น ยอมรับความเสี่ยง (Take) จัดการความเสี่ยง (Treat) ถ่ายโอนความเสี่ยง (Transfer) และหลีกเลี่ยงความเสี่ยง (Terminate) ซึ่งสอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้
4. การติดตามและทบทวน
ปตท.สผ. ยังคงติดตามความเสี่ยงและมาตรการบรรเทาผลกระทบซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการบริหารความเสี่ยง เพื่อให้มั่นใจว่าเรายังคงตื่นตัวต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงและปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้อย่างหมาะสม นอกจากนี้ มีการทบทวนความเสี่ยงเป็นประจำอย่างน้อยเป็นรายไตรมาส การเน้นย้ำถึงความคล่องตัวทำให้ ปตท.สผ. สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ทันท่วงทีสามารถรวบรวมความเสี่ยงใหม่ ที่ผลกระทบมีนัยสำคัญ เพื่อให้มั่นใจว่าเรามีความพร้อมในการจัดการกับความเสี่ยงอย่างทันท่วงที สมเหตุสมผล และมีประสิทธิภาพ
ปตท.สผ. จัดให้มีการตรวจสอบจากหน่วยงานภายในและการตรวจประเมินจากภายนอก ในช่วงสองปีที่ผ่านมามีการตรวจสอบภายในที่มุ่งเน้นในเรื่องกระบวนการบริหารความเสี่ยง นอกจากนี้ ยังได้ว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญมาประเมิน Enterprise Risk Management (ERM) Maturity ตามมาตรฐานสากล ซึ่ง รวมถึง ISO31000 และ COSO โดยขอบเขตของการประเมินครอบคลุมการกำกับดูแลและกรอบการทำงาน กระบวนการ วัฒนธรรม และหัวข้อพิเศษ เช่น การบริหารความเสี่ยงของบุคคลที่สามและหุ้นส่วน เครื่องมือและซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการบริหารความเสี่ยง และการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ ซึ่งผลการประเมินส่วนใหญ่อยู่ที่ระดับ 3 ถึงระดับ 4
5. การสื่อสารและการให้คำปรึกษา
ปตท.สผ. มั่นใจว่าพนักงานทุกคนได้รับข้อมูล มีส่วนร่วม และได้รับอำนาจในการมีส่วนช่วยผลักดันให้เกิดความสำเร็จของการบริหารความเสี่ยง
6. การบันทึกและการรายงาน
ปตท.สผ.บันทึกกระบวนการบริหารความเสี่ยงและผลลัพธ์และรายงานผ่านเครื่องมือและระบบทะเบียนจัดการความเสี่ยง รายงานความเสี่ยงสนับสนุนฝ่ายบริหารและคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงในการตัดสินใจ รวมถึงทำให้สามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ตามบทบาทหน้าที่ที่ได้รับมอบหมาย นอกจากนี้ ได้มีการคำนึงถึงการจำกัดการเข้าถึงข้อมูลความเสี่ยง โดยพิจารณาจากความจำเป็นในการใช้งาน
โครงสร้างการบริหารความเสี่ยง
เพื่อให้ประเด็นความเสี่ยงที่สำคัญได้ถูกระบุไว้อย่างครอบคลุม ครบถ้วน และมีการบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามหลักการโมเดลสามด่าน (Three Lines Model) หน่วยงานบริหารความเสี่ยงจะให้ข้อแนะนำและทำงานร่วมกับหน่วยงานที่มีบทบาทในด่านที่หนึ่ง (First Line Roles) ซึ่งมีหน้าที่ในการดำเนินงานและบริหารความเสี่ยงไปพร้อม ๆ กันในฐานะเจ้าของความเสี่ยง (Risk Owner) และประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานที่มีบทบาทในด่านที่สอง (Second Line Roles) ที่ดูแลและมีความเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง ซึ่งจะทำหน้าที่ให้ความช่วยเหลือในการบริหารความเสี่ยงในแต่ละด้าน เช่น หน่วยงานกำกับการปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ จะติดตามการเปลี่ยนแปลงกฎหมายซึ่งอาจส่งผลให้เป็นความเสี่ยงเกิดใหม่หรือทำให้ระดับความเสี่ยงเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ส่วนหน่วยงานตรวจสอบซึ่งเป็นหน่วยงานที่มีบทบาทในด่านที่สาม (Third Line Roles) ทำหน้าที่ตรวจสอบและให้ข้อแนะนำอย่างเป็นอิสระ เพื่อพัฒนาปรับปรุงการบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลยิ่งขึ้น หน่วยตรวจสอบภายในตามบทบาทนี้ประกอบไปด้วยหน่วยงานตรวจสอบ และผู้ตรวจสอบภายนอก มีหน้าที่ในการตรวจสอบอิสระเกี่ยวกับผลการดำเนินงานโดยรวมของระบบการจัดการต่าง ๆ ภายใต้การดำเนินงานของ First และ Second Line Roles ซึ่งรวมถึงการตรวจสอบเพื่อให้มั่นใจได้ว่าการบริหารจัดการความเสี่ยงดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล และให้ข้อเสนอแนะสำหรับการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังมีการแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างหน่วยงานบริหารความเสี่ยงและหน่วยงานตรวจสอบ เพื่อให้มั่นใจว่าประเด็นความเสี่ยงที่สำคัญได้ถูกระบุและจัดการอย่างต่อเนื่อง
ความเสี่ยงระดับองค์กรและความเสี่ยงเกิดใหม่
ในกระบวนการระบุและประเมินความเสี่ยงระดับองค์กร (Corporate Risk) ปตท.สผ. พิจารณาทั้งปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอกที่มีผลกระทบต่อการบรรลุวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ของบริษัท รวมถึงปัจจัยที่อาจมีผลกระทบสูงระดับองค์กร เช่น การเปลี่ยนแปลงและสถานการณ์โลกที่สำคัญ (Significant Global Events) ผลการตรวจสอบโดยหน่วยงานตรวจสอบ (Audit Findings) และข้อคิดเห็นของคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงและผู้บริหารของบริษัท โดยความเสี่ยงสำคัญที่หน่วยงานผู้รับผิดชอบหรือเจ้าของความเสี่ยง (Risk Owner) ได้ระบุและประเมินไว้จะได้รับการพิจารณายกระดับขึ้นตามเกณฑ์ระดับองค์กรด้วย ทั้งนี้ ประเด็นความเสี่ยงระดับองค์กรทั้งหมดจะถูกรวบรวมและจัดทำเป็น Corporate Risk Profile (CRP) เพื่อรายงานต่อผู้บริหาร คณะกรรมการจัดการ และคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนั้นยังมีการติดตามและแจ้งต่อคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องหากมีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญเพื่อบริหารจัดการความเสี่ยงได้อย่างทันท่วงที
ทั้งนี้ ปตท.สผ. ประสบความสำเร็จในการนำระบบทะเบียนความเสี่ยง (Risk Register System – RR System) ในรูปแบบเว็บไซต์มาใช้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรม เป็นช่องทางให้หน่วยงานเจ้าของความเสี่ยงสามารถระบุและวิเคราะห์ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับตนเองได้อย่างครบถ้วน รวดเร็ว สื่อสารได้อย่างทั่วถึง ทั้งยังสามารถรวบรวมและยกระดับความเสี่ยงที่สำคัญขึ้นมาเป็นความเสี่ยงระดับองค์กรให้ผู้เกี่ยวข้องสามารถติดตามการบริหารความเสี่ยงได้อย่างสะดวก รวดเร็ว จากทุกสถานที่ ทุกเวลา นอกจากนี้ ปตท.สผ. มุ่งมั่นพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อการบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพและรวดเร็วยิ่งขึ้น รวมถึงพัฒนา Chat Bot ตัวแนะนำความเสี่ยงและค้นหาข้อมูลความเสี่ยงอย่างครบถ้วน นำไปสู่การบริหารจัดการความเสี่ยงเพื่อป้องกันการเกิดปัญหาที่อาจส่งผลกระทบต่อเป้าหมายขององค์กร
ปตท.สผ. มุ่งมั่นต่อการดำเนินงานตามกระบวนการบริหารความเสี่ยงเชิงรุก ในปี 2566 เราได้ใช้ Risk Matrix ช่วยประเมินเหตุการณ์ที่สำคัญต่อองค์กร โดยพิจารณาทั้งในแง่ผลกระทบและโอกาสเกิดความเสี่ยง จากการวิเคราะห์นี้ ปตท.สผ. ได้ระบุมาตรกาจัดการความเสี่ยงเพื่อให้มั่นใจว่าแต่ละความเสี่ยงอยู่ในระดับที่ยอมรับได้ทั้งหมด
ความเสี่ยงที่สำคัญและลำดับความสำคัญ | คำอธิบาย | ระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ | มาตรการบรรเทาความเสี่ยง (การควบคุมที่มีอยู่ในปัจจุบัน) |
---|---|---|---|
ความเสี่ยงด้านกลยุทธ์และการลงทุน: ความเสี่ยงในการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการปัจจุบันและโครงการใหม่ ลำดับความสำคัญ (โอกาสเกิดและผลกระทบ): สูง |
ปตท.สผ. มุ่งรักษาอัตราส่วนปริมาณสำรองการผลิต โดยการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ร่วมกับพันธมิตร พื้นที่หลัก ได้แก่ ประเทศไทย เมียนมา มาเลเซีย และประเทศในภูมิภาคตะวันออกกลาง โดยพิจารณาปัจจัยต่างๆ เช่น ศักยภาพปิโตรเลียม ลักษณะโครงการ เสถียรภาพทางการเมือง และภาวะเศรษฐกิจ |
ปตท.สผ. ยอมรับความเสี่ยงด้านการลงทุนในการสำรวจน้ำมันและก๊าซ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจหลัก รวมถึงลงทุนในธุรกิจที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ โดยจัดการความเสี่ยงให้มีความสมดุลกับผลตอบแทนและประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตัวอย่างของเกณฑ์และขอบเขตความเสี่ยงที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ ได้แก่
|
ปตท.สผ. กำหนดกระบวนการบริหารความเสี่ยง รวมถึงปรึกษากับผู้เชี่ยวชาญ ดำเนินการตรวจสอบสถานะ ติดตามการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ พิจารณาข้อกำหนดด้านกฎระเบียบและความเสี่ยงของคู่สัญญา และรวมความเสี่ยงเข้ากับการวิเคราะห์การลงทุน ทั้งนี้ โครงการต่างๆ จะถูกกลั่นกรองโดยคณะกรรมการการลงทุนและการจัดการ เพื่อให้มั่นใจว่าการลงทุนในโครงการนั้น ๆ มีความเสี่ยงที่เป็นไปได้ และสามารถจัดการได้อย่างเหมาะสมก่อนที่จะได้รับการอนุมัติจากคณะกรรมการบริหารความเสี่ยง และคณะกรรมการบริษัทตามลำดับ |
ความเสี่ยงด้านการดำเนินการ: ความเสี่ยงในการสำรวจ ลำดับความสำคัญ (โอกาสเกิดและผลกระทบ): สูง |
การสำรวจหาแหล่งน้ำมันใหม่เป็นสิ่งที่สำคัญต่อการเติบโตของ ปตท.สผ. ความเสี่ยงจึงรวมถึงความเสี่ยงทางธรณีวิทยาและความไม่แน่นอนของปริมาณทรัพยากร ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการตัดสินใจ ได้แก่ โอกาสในการประสบความสำเร็จ การประเมินทรัพยากร ต้นทุน และข้อกำหนดของสัญญา |
ปตท.สผ. ยอมรับความเสี่ยงด้านการลงทุนในการสำรวจน้ำมันและก๊าซ โดยถือเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจหลัก รวมถึงลงทุนในธุรกิจที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ โดยจัดการความเสี่ยงให้มีความสมดุลกับผลตอบแทนและประโยชน์ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ตัวอย่างของเกณฑ์ และขอบเขตความเสี่ยงที่สอดคล้องกับระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ ได้แก่
|
ปตท.สผ. ประเมินศักยภาพของแปลงสำรวจ และทำการศึกษา ด้านธรณีวิทยา (Geological Studies) การสํารวจและประมวลผลคลื่นไหวสะเทือน (Seismic Acquisition and Processing การเจาะหลุมประเมินและหลุมผลิต (Appraisal and Development Wells) กลุ่มงานธรณีศาสตร์และการสํารวจจะประเมินศักยภาพ วางกลยุทธ์แผนการสํารวจภายใต้กรอบงบประมาณ และทบทวนกระบวนการเหล่านี้ทุกปี ปตท.สผ. กําหนดนโยบายกระจาย การลงทุนด้านการสํารวจ โดยกําหนดสัดส่วนการลงทุน ในแต่ละแปลง และกระจายการลงทุนไปยังแปลงสํารวจอื่น ๆ ร่วมกับพันธมิตรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ |
จากสถานการณ์ปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางธุรกิจ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ตลอดจนความคาดหวังจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ที่ต้องเป็นไปตามกฎระเบียบต่าง ๆ รวมถึงมาตรการจัดการผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มเข้มข้นขึ้น ปตท.สผ. ได้ติดตามสถานการณ์และประเมินความเสี่ยงเกิดใหม่ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในอนาคต และรายงานต่อผู้บริหารและคณะกรรมการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การติดตามและปรับปรุงแผนบริหารจัดการความเสี่ยงรวมทั้งกลยุทธ์ของบริษัทฯ เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สนับสนุนให้องค์กรมีความยืดหยุ่นและสามารถรับมือกับความเสี่ยงเกิดใหม่ได้อย่างทันท่วงที ยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน และเพิ่มโอกาสในการดำเนินธุรกิจให้ ปตท.สผ. เติบโตต่อไปได้อย่างยั่งยืน
ปตท.สผ. ได้ระบุความเสี่ยงเกิดใหม่จากปัจจัยความเสี่ยงขององค์กร และจัดลำดับความสำคัญของความเสี่ยงเกิดใหม่เหล่านี้ตามเกณฑ์การประเมินความเสี่ยงที่มีอยู่ ปัจจุบัน ปตท.สผ. ได้ระบุและติดตามความเสี่ยงเกิดใหม่ ดังนี้
1. ความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีคาร์บอนตํ่า และความต้องการของโลกด้านพลังงานทดแทนการใช้เชื้อเพลิงจากฟอสซิล (Natural Resource Shortage)
การขาดแคลนทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ อาจจำกัดขีดความสามารถในการบรรลุเป้าหมายของ ปตท.สผ. ส่งผลต่อความสามารถในการทำกำไร ในขณะเดียวกัน การแข่งขันด้านทรัพยากรที่เพิ่มขึ้นก็อาจส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น ทั้งสองสถานการณ์นับเป็นความท้าทายและโอกาสที่แตกต่างกันสำหรับ ปตท.สผ. โดยสถานการณ์แรกจำเป็นต้องได้รับการตอบสนองอย่างรวดเร็วเพื่อปรับตัวต่อตลาดพลังงานที่เปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่สถานการณ์ที่สองเสนอแนวทางที่ค่อยเป็นค่อยไปมากกว่า แต่มีความเสี่ยงที่จะเกิดความล่าช้าในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงพลังงานทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
- ระยะเวลา: 3-10 ปี
- หมวดหมู่ความเสี่ยง: กลยุทธ์ / สิ่งแวดล้อม
- ลำดับความสำคัญ (โอกาสเกิดและผลกระทบ): สูง
สถานการณ์และผลกระทบต่อ ปตท.สผ.:
-
สถานการณ์: จุดผลิตสูงสุดของน้ำมันและก๊าซ (Peak Oil and Gas) – การเปลี่ยนแปลงสู่พลังงานทดแทน
สถานการณ์นี้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากเชื้อเพลิงฟอสซิลไปเป็นพลังงานทดแทน สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) คาดการณ์ว่าความต้องการน้ำมันทั่วโลกอาจถึงจุดสูงสุดภายในสิ้นทศวรรษนี้ เนื่องจากโลกหันมาใช้แหล่งพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น โดยคาดว่าภายในปี 2573 ไฟฟ้าเกือบครึ่งหนึ่งของโลกจะมาจากพลังงานลมและพลังงานแสงอาทิตย์ และรถยนต์ไฟฟ้าจะถูกใช้อย่างแพร่หลายมากขึ้น แนวโน้มดังกล่าวนับเป็นความเสี่ยงสำหรับ ปตท.สผ. เนื่องจากส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอนของอุปสงค์และอุปทานน้ำมันและก๊าซ ตลอดจนนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมและประเด็นทางการเมืองในระดับโลกก็อาจนำไปสู่รายได้ที่ไม่แน่นอน ปตท.สผ. จึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การผลิตเพื่อเพิ่มผลกำไร
-
สถานการณ์: ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีและการชะลอการลดลงของทรัพยากร
ในสถานการณ์นี้ ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีจะชะลอการลดลงของทรัพยากรน้ำมันและก๊าซ เทคโนโลยีใหม่ ๆ จะทำให้การสกัดทรัพยากรที่เข้าถึงยากอย่างน้ำมันและก๊าซสามารถทำได้ง่ายขึ้น ซึ่งอาจชะลอการลดลงของอุปสงค์น้ำมันทั่วโลกไปอีกหลายทศวรรษ ถือเป็นโอกาสสำหรับ ปตท.สผ. ในการรักษาปริมาณสำรองเพิ่มเติมและบรรลุเป้าหมายการผลิต อย่างไรก็ตาม การพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลมากขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อการใช้พลังงานทดแทนและความสามารถในการปรับตัวของ ปตท.สผ. ด้วย
การดำเนินการเพื่อจัดการความเสี่ยง:
- การกระจายแหล่งพลังงาน : ขยายการลงทุนไปสู่โครงการพลังงานทดแทน เช่น พลังงานลม เพื่อลดการพึ่งพาพลังงานจากเชื้อเพลิงไฮโดรคาร์บอนแบบดั้งเดิม นอกจากนี้ ปตท.สผ. อยู่ระหว่างขยายการผลิตก๊าซธรรมชาติเพื่อเป็นพลังงานทางเลือกที่สะอาดกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลอื่นๆ สอดคล้องกับปณิธานในการสร้างความมั่นคงด้านพลังงานในช่วงการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน รวมถึงมุ่งลงทุนในธุรกิจและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ด้านพลังงานที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- การปรับปรุงประสิทธิภาพ : ดำเนินโครงการต่าง ๆ เพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการดำเนินงานและการใช้ทรัพยากร เช่น การพัฒนากระบวนการผลิตและการบริหารโครงการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
- การจัดการปริมาณสำรองเชิงกลยุทธ์ : ปตท.สผ. มีการจัดการปริมาณสำรองอย่างมีประสิทธิภาพเพื่อความยั่งยืนในระยะยาว และลดความเสี่ยงจากการลดลงของทรัพยากร
2. ความเสี่ยงด้านการเปลี่ยนแปลงนโยบาย กฎระเบียบ และมาตรฐานสากลที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Critical Change to Earth System)
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระบบต่าง ๆ ของโลก (Changes to Earth System) ส่งผลกระทบโดยตรงต่อทั้งความถี่และความรุนแรงของภัยพิบัติทางธรรมชาติ อาทิ พายุ น้ำท่วม และสภาพอากาศสุดขั้ว สมาคมต่าง ๆ ทั่วโลกต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบเชิงกายภาพจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศต่อการดำเนินธุรกิจที่อาจต้องหยุดชะงัก ระดับความรุนแรงของผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงระบบต่าง ๆ ของโลกที่สำคัญ (Critical Change to Earth Systems) ต่อ ปตท.สผ. ขึ้นอยู่กับความสามารถในการเปลี่ยนผ่านเพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงว่าสามารถดำเนินการได้เร็วหรือช้า
นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังคงเป็นประเด็นที่ประเทศ ต่าง ๆ ทั่วโลกให้ความสําคัญ เห็นได้จากการประชุมรัฐภาคี กรอบอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศ (United Nations Framework Convention on Climate Change หรือ UNFCCC) ที่ทุกภาคส่วนช่วยกัน ขับเคลื่อนเพื่อบรรลุเป้าหมายที่จะรักษาระดับอุณหภูมิเฉลี่ย ของโลกไม่ให้เกิน 1.5-2.0 องศาเซลเซียส โดยมีการติดตามผล และหาข้อตกลงในการดําเนินงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพ ภูมิอากาศร่วมกันผ่านการประชุมประจําปี (Conference of the Parties หรือ COP) โดยประเทศไทยประกาศเจตนารมณ์ ที่จะยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่ เพื่ออบรรลุ ความเป็นกลางทางคาร์บอนในปี 2573 และเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2608 ซึ่งภาคพลังงาน เป็นหนึ่งในธุรกิจหลักที่มีบทบาทสําคัญในการร่วมผลักดัน ใหประเทศบรรลุเป้าหมายนี้ ทําให้ ปตท.สผ. ปรับทิศทางกลยุทธ์การดําเนินงานให้สอดคล้องกับประเทศ รวมทั้งนักลงทุนและ สถาบันการเงินได้นําการบริหารจัดการความเสี่ยงและ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมาเป็นหนึ่งในปัจจัยในการ พิจารณาการลงทุน และการให้เงินกู้ยืมแก่ธุรกิจที่ส่งผลกระทบ ต่อสิ่งแวดล้อมโดยเฉพาะธุรกิจสํารวจและผลิตปิโตรเลียม
ปตท.สผ. ตระหนักถึงความเสี่ยงอันเกิดจากนโยบายและกฎระเบียบของรัฐ อันมีผลบังคับใช้เพื่อควบคุมการปล่อยก๊าซเรือนกระจกซึ่งอาจกระทบการดําเนินธุรกิจของ ปตท.สผ. ภายใต้การประกกาศเจตนารมณ์ของเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ของประเทศไทย รวมถึงในประเทศอื่นๆที่ปตท.สผ.ดำเนินธุรกิจ อาทิ พระราชบัญญัติ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) ระเบียบในการจัดทําบัญชีก๊ซเรือนกระจก กลไกภาษีคาร์บอน รวมถึงการนําภาษีคาร์บอนมาเป็นเครื่องมือกีดกันทางการค้า ผ่านมาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (Carbon Border Adjustment Mechanism หรือ CBAM) นอกจากนี้ ปตท.สผ.ยังพิจารณาความเสี่ยงอื่นอันเนื่องมาจากมาตรฐานหรือคู่มือการดำเนินงานที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจภาคพลังงาน เพื่อบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์จากสถาบันมาตรฐานระดับสากล เช่น ISO และ Science Based Targets initiative หรือ SBTi ซึ่งอาจมีผลต่อการบังคับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกระหว่างปีจนถึงปี 2593 ซึ่งเป็นปีเป้าหมายในการปล่อยก๊าซเรือนกระจกด้วยคาร์บอนเครดิตที่เป็นประเภทเฉพาะเจาะจง ซึ่งทั้งหมดอาจส่งผลกระทบการดำเนินงานของบริษัทฯ
- ระยะเวลา: 3-10 ปี
- หมวดหมู่ความเสี่ยง: สิ่งแวดล้อม
- ลำดับความสำคัญ (โอกาสเกิดและผลกระทบ): ปานกลาง
สถานการณ์และผลกระทบต่อ ปตท.สผ.:
-
สถานการณ์: การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว
สถานการณ์นี้คือกรณีที่การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นไปอย่างกะทันหันและรุนแรง ซึ่งอาจเกิดขึ้นภายใน 5 ปีข้างหน้า วงการนักวิทยาศาสตร์ได้เตือนว่าโลกอาจถึงเกณฑ์วิกฤตสภาพภูมิอากาศในเร็วๆ นี้ และนำไปสู่ผลกระทบที่ไม่อาจเยียวยาได้ หากอุณหภูมิโลกสูงขึ้นถึง 1.5 องศาเซลเซียสจากยุคก่อนอุตสาหกรรม จะส่งผลให้แผ่นน้ำแข็งละลายอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ รูปแบบภูมิอากาศเปลี่ยนแปลงผิดปกติ ตลอดจนเกิดเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว อาทิ คลื่นความร้อน และฝนตกหนัก ถี่และรุนแรงขึ้น
-
สถานการณ์: การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศอย่างค่อยเป็นค่อยไป เนื่องมาจากกิจกรรมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกของมนุษย์ โดยคาดว่าอุณหภูมิโลกจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในทศวรรษหน้า ส่งผลให้เกิดการสูญเสียของธารน้ำแข็งในทะเลอาร์กติกเพิ่มเติม ระดับน้ำทะเลค่อย ๆ สูงขึ้น ปัญหาการเปลี่ยนแปลงทางภูมิอากาศจะมีแนวโน้มทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น อาทิ ภัยแล้งเกิดต่อเนื่องยาวนานขึ้น รูปแบบการเกิดมรสุมเปลี่ยนแปลงผิดปกติ ตลอดจนเกิดการสูญเสียต่อระบบนิเวศในวงกว้าง
การดำเนินการเพื่อจัดการความเสี่ยง:
- การเตรียมความยืดหยุ่นของโครงสร้างพื้นฐาน : ปตท.สผ. บริหารจัดการความเสี่ยงจากเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้วผ่านการดำเนินงานในระยะสั้น การมีกลยุทธ์ รวมถึงแผนการลงทุนด้านเทคโนโลยีในระยะยาว ตลอดจนมีแผนการปรับระยะเวลา อุปกรณ์ และการพักการทำงานเพื่อหลีกเลี่ยงคลื่นความร้อน มีอุปกรณ์ติดตามและเพิ่มประสิทธิภาพแผนรับมือพายุไซโคลน ปรับปรุงแนวกั้นน้ำท่วมและระบบระบายน้ำ และเชื่อมโยงการประเมินความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารจัดการความเสี่ยงองค์กร
- การพัฒนาธุรกิจคาร์บอนต่ำ : มีเกณฑ์การประเมินก๊าซเรือนกระจกเป็นปัจจัยหนึ่งในการตัดสินใจลงทุน เพื่อสนับสนุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์
- การดำเนินโครงการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก : เรามุ่งมั่นลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกผ่านการดำเนินโครงการต่าง ๆ เช่น Carbon Capture and Storage (CCS) รวมถึงมีการลงทุนในด้านการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ทันสมัย เช่น Low Flare Recovery และเทคโนโลยีการดักจับคาร์บอนจากอากาศโดยตรง (Direct Air Capture หรือ DAC)
- การกำหนดกลยุทธ์ด้านการชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก : เพื่อให้มั่นใจว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามที่กำหนดไว้ ปตท.สผ. มีแผนการสร้างคาร์บอนเครดิตจากโครงการประเภท Nature-Based Solution และโครงการประเภทดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ (Carbon Removal Type) มาชดเชยเท่านั้น ซึ่งกำหนดให้ใช้ปริมาณคาร์บอนเครดิตมาชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกกรณีฐาน (Business As Usual หรือ BAU) และเปิดเผยข้อมูลบัญชีก๊าซเรือนกระจกของบริษัทฯ อย่างโปร่งใส ถูกต้องตามมาตรฐานสากล
วัฒนธรรมความเสี่ยงภายในองค์กร
ปตท.สผ. มุ่งสร้างวัฒนธรรมด้านความเสี่ยงที่เข้มแข็ง เพื่อเสริมสร้างให้การบริหารความเสี่ยงในองค์กรแข็งแกร่งและยั่งยืน โดยปลูกฝังจิตสำนึกด้านความเสี่ยงและพัฒนาความรู้ความสามารถของบุคลากร มีผู้บริหารทุกระดับเป็นผู้นำและแบบอย่างที่ดี พร้อมทั้งสร้างความตระหนักและความรู้ความเข้าใจ เพื่อให้พนักงานนำการบริหารความเสี่ยงมาใช้ในการดำเนินงานจนเป็นวัฒนธรรมองค์กร ผ่านการฝึกอบรมและกิจกรรมต่าง ๆ ตลอดจนส่งเสริมให้มีการทบทวนการบริหารความเสี่ยง นำบทเรียนในอดีตและองค์ความรู้ต่าง ๆ มาใช้ เพื่อพัฒนาการบริหารความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังแต่งตั้งผู้ประสานงานด้านความเสี่ยง (Risk Coordinator) ประจำหน่วยงานและโครงการต่าง ๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อทำหน้าที่ประสานงานและรายงานเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงระหว่างหน่วยงานเจ้าของความเสี่ยงกับหน่วยงานบริหารความเสี่ยง ซึ่งช่วยขับเคลื่อนให้เกิดการประเมินความเสี่ยง และบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพทั่วทั้งองค์กร
ในปี 2566 มีกิจกรรมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่องการบริหารความเสี่ยงและความต่อเนื่องทางธุรกิจให้แก่พนักงานทั่วทั้งองค์กรตลอดทั้งปี ทั้งในรูปแบบการอบรม การประชุมเชิงปฏิบัติการให้แก่พนักงานตามพื้นที่ปฏิบัติการทั้งในประเทศและต่างประเทศ และผ่านสื่อออนไลน์หลายกหลายช่องทาง อาทิ การออกอากาศผ่านระบบอินเทอร์เน็ต “Low Risk High Return – เสี่ยงไม่สุ่ม Podcast” การให้ความรู้ผ่าน Poster และการเรียนรู้ด้วยตนเอง (E-Learning) เป็นต้น รวมทั้งจัดกิจกรรมเผยแพร่แลกเปลี่ยนความรู้ในประเด็นสำคัญผ่านช่องทางรายการสด (Live) ในรายการ “เสี่ยงต้องคุย คุยไม่เสี่ยง” อาทิ สถานการณ์แผ่นดินไหว สถานการณืและความเป็นมาจากอดีตจนถึงปัจจุบันของสงครามปาเลสไตน์-อิสราเอล และประเทศโมซัมบิก เพื่อให้พนักงานมีความรู้เท่าทันเหตุการณ์ และเพิ่มความตระหนักเกี่ยวกับประเด็นสำคัญในระดับโลกที่อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อบริษัทฯ และตนเอง
การฝึกอบรมและการเสริมสร้างขีดความสามารถด้านการบริหารความเสี่ยง
สำหรับพนักงานทุกระดับ
ปตท.สผ. ได้ดำเนินโครงการฝึกอบรมที่เน้นหลักการบริหารความเสี่ยงและการประเมินความเสี่ยง ตัวอย่างเช่น แนวคิดด้านการบริหารความเสี่ยงและการฝึกอบรมการลงทะเบียนความเสี่ยงแก่ผู้ประสานงาน การฝึกอบรมแนวคิดด้านการบริหารความเสี่ยง (ความเสี่ยง กับ ดูเหมือนความเสี่ยง) ให้กับพนักงานทุกคน การประชุมเชิงปฏิบัติการด้านการบริหารความเสี่ยงให้แก่ฝ่ายบริหารและทีมงานที่เกี่ยวข้องกับโครงการในประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
ในอีกมุมหนึ่ง ปตท.สผ. เชื่อมโยงสิ่งจูงใจทางการเงินเข้ากับเป้าหมายการบริหารความเสี่ยง เพื่อสร้างวัฒนธรรมที่เข้มแข็งในการตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงแก่พนักงานระดับอาวุโส ผู้จัดการ หรือบุคลากรที่เกี่ยวข้อง โดยกำหนดตัวชี้วัดความสำเร็จ (KPI) เช่น ความสำเร็จของแผนงานด้านความมั่นคง ปลอดภัยและชีวอนามัย การใช้แผน GRC (การกำกับดูแล การจัดการความเสี่ยงและการปฏิบัติตามกฎระเบียบ) ที่ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการจ่ายเงินพิเศษและการประเมินผล สิ่งนี้สร้างวัฒนธรรมที่เป็นหนึ่งเดียวโดยมุ่งเน้นที่การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงและการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
สำหรับระดับคณะกรรมการ
นอกจากกรรมการผู้ที่ไม่เป็นผู้บริหารจะเป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการบริหารความเสี่ยงระดับองค์กร ปตท.สผ. ยังจัดให้มีการให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการบริหารความเสี่ยงเป็นประจำอีกด้วย หลักสูตรเหล่านี้ได้รับการออกแบบขึ้น เพื่อเพิ่มความเข้าใจและความเชี่ยวชาญในด้านการบริหารความเสี่ยงขององค์กร
การอบรมด้านการบริหารความเสี่ยงสำหรับกรรมการ
การบริหารความเสี่ยง | รายชื่อของกรรมการที่เข้าร่วม |
---|---|
การฝึกอบรมด้านความเสี่ยงในหลักสูตรปฐมนิเทศคณะกรรมการบริหารความเสี่ยงระดับคณะกรรมการ ประกอบด้วย
|
กรรมการที่ไม่เป็นผู้บริหาร ผู้บริหาร และกรรมการอิสระทุกท่านจะต้องเข้าร่วม ในปี 2566:
|
หัวข้อพิเศษ
|
|
การบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ
ปตท.สผ. มีระบบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารความเสี่ยงองค์กร โดยกําหนดกรอบการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจและพัฒนาแผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจสําหรับกระบวนการทํางานที่มีความสําคัญและเร่งด่วนให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลด้านการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ ISO 22301:2019 โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้
- 1 เพิ่มขีดความสามารถขององค์กรให้มีความยืดหยุ่น สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องแม้ในสถานกาณณ์ฉุกเฉินหรือภาวะวิกฤต
- 2 ปกป้องผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย บุคลากร องค์กร ชุมชน รวมถึงชื่อเสียงและภาพลักษณ์ขององค์กร
- 3 มีมาตรการจัดการความเสี่ยงจากเหตุการณ์ที่ทำให้ธุรกิจหยุดชะงัก และต้องเป็นไปตามนโยบายอื่น ๆ ของ ปตท.สผ.
- 4 ลดความเสี่ยงจากการกระทำที่ขัดต่อกฎหมาย มาตรฐาน ข้อกำหนด หรือสัญญาต่าง ๆ
- 5 สร้างขีดความสามารถให้องค์กรมีความยืดหยุ่นอย่างเหมาะสม และเพียงพอ
โดยมีการทบทวนและดำเนินการฝึกซ้อมแผนการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจอย่างสม่ำเสมอทุกปี เพื่อให้มั่นใจว่าแผนดังกล่าวยังเป็นปัจจุบัน และผู้เกี่ยวข้องสามารถนำแผนไปใช้ได้อย่างถูกต้อง ทันต่อสถานการณ์
ในปี 2566 ปตท.สผ. ได้ปรับปรุงระบบการจัดการด้านความต่อเนื่องทางธุรกิจให้เป็นศูนย์กลางมากยิ่งขึ้น (PTTEP ONE BCMS) โดยรวบรวมมาตรฐานที่ได้รับการรับรองจากสถาบัน British Standards Institution (BSI) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากลด้านการบริหารความต่อเนื่องทางธุรกิจ ทั้งหมด 5 ฉบับ ได้แก่ สำนักงานใหญ่ (กรุงเทพมหานคร) โครงการฐานสนับสนุนการพัฒนาปิโตรเลียม (สงขลา) โครงการซอติก้า ประเทศเมียนมา โครงการเอส 1 และโครงการมาเลเซีย ให้อยู่ในฉบับเดียว รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการ การวางแผน การดำเนินงานที่มีความสอดคล้องและปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน และเพิ่มความเชื่อมโยงของแต่ละหน่วยงานที่มีความเกี่ยวข้อง หรือสนับสนุนกันในช่วงภาวะวิกฤตให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น